"คนหนองเสือ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนธัญบุรี
บ้านผมอยู่ธัญบุรี ปทุมธานี เขตปริมณฑลของกรุงเทพฯ นี่เอง มีคลองรังสิตเป็นสายเลือดเส้นใหญ่ของพวกเรา
ตั้งแต่เปิดคลองใน พ.ศ.2435 ร.5 โปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่าคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ย่านนี้ก็กลายเป็นถิ่นเจริญ ดินดำน้ำชุ่ม คลองไปถึงไหน ไร่นาที่นั่นก็อุดมสมบูรณ์ ผู้คนเข้าไปทำมาหากินกันหนาตาขึ้นทุกที
น่าสงสารแต่บรรดา "คุณหูทิพย์" หรือโขลงช้างป่าที่ถือว่าเป็นเจ้าถิ่นตัวจริงเสียงจริงเคยอยู่กินสุขสบายมานับร้อยปีก็จำเป็นต้องถอยร่น หลบเข้าป่าลึกไปทุกทีจนถึงเขาเขียว นครนายก ปราจีนบุรีโน่น
ทุ่งรังสิตเคยรกร้างในอดีตก็โปรดเกล้าฯ ให้เป็นเมืองธัญบุรี ในปี 2444 อีก 30 ปีต่อมาก็กลายเป็นอำเภอธัญบุรี ขึ้นต่อจังหวัดปทุมธานีในปี 2474 มาจนถึงทุกวันนี้
หนองเสือ ธัญบุรีบ้านผมนี่ แหม...เขาลือกันว่า ผีดุบรรลัยเลยล่ะครับ!
ช่วงนั้นบ้านเรือนชักจะหนาตา บ้านจัดสรรก็ผุดขึ้นหลายแห่ง ผู้คนและรถราคึกคักขึ้นทุกที แม้ว่าด้านหลังจะมีสวนส้มเขียวหวานอยู่นับร้อยไร่ เห็นว่าหนีน้ำเค็มจากบางมดมาปักหลักที่นี่ ต่อมาก็ต้องอพยพไปอยู่สิงห์บุรีบ้าง พิจิตรบ้าง เมื่อดินจืดกับความเจริญจากเมืองหลวงแผ่ขยายมาถึงรวดเร็วแทบตั้งตัวไม่ติด
ถนนเลียบคลองจากรังสิต กลายเป็นทางลัดไปนครนายก เสาร์อาทิตย์มีรถนักท่องเที่ยวผ่านไปมาขวักไขว่ อุบัติเหตุทางถนนก็เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว
ชนโครมเข้าถ้าไม่ตายก็คางเหลืองไปตามๆ กัน!
ที่น่าขนพองสยองเกล้ากว่านั้นคือ พวกที่ขับรถพุ่งชนต้นไม้เสียงเหมือนฟ้าผ่า หรือไม่ก็พุ่งลงคลอง ส่วนมากกลายเป็นศพทั้งนั้น ผมเคยเห็นพวกมูลนิธิเขางมศพขึ้นมา มีทั้งผู้หญิงผู้ชายแม้แต่เด็กๆ ก็ต้องพลอยจบชีวิตอย่างน่าเศร้าใจ
เรื่องผีดุก็ชักจะหนาหูขึ้นทุกที!
ไม่ใช่เรื่องราวที่พูดกันลอยๆ นะครับ แต่มีคนหวิดจับไข้หัวโกร๋นมาหลายรายแล้ว
ตอนแรกเป็นผีในทุ่งนา คนเดินผ่านได้ยินเสียงท่องน้ำจ๋อมๆ พอหันไปดูก็เงียบ แต่เดินต่อเมื่อไหร่เป็นได้ยินเสียงจ๋อมๆ เมื่อนั้น ในที่สุดก็ต้องวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานแทบเสียสติไปเลย
บางคนเล่าว่าขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน เห็นคนกลุ่มหนึ่งยกโขยงมาจากสวนส้ม เดินตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ บางคนบอกว่าเด็กเล็กๆ เดินแก้ผ้าล่อนจ้อนข้างทาง พอนึกได้ว่าเด็กเล็กๆ ที่ไหนจะมาเดินคนเดียวตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้?
คุณพระช่วย! เด็กเจ้ากรรมนั่นก็หายไปแล้ว!
ต่อให้ใจแข็งเป็นเหล็กเป็นไหลแค่ไหน แต่เรื่องกลัวผีนี่ไม่เข้าใครออกใครนะครับ นึกขึ้นได้ก็เผ่นอ้าวจนออกหูหึ่งๆ เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งมีรถเกิดอุบัติเหตุคนตายบ่อยๆ ภูตผีปีศาจก็ยิ่งเฮี้ยนจัดขึ้นทุกที ก็มีคนเห็นร่างดำๆ เดินไปมาอยู่ข้างถนน บ้างก็นั่งร้องไห้อยู่ริมคลอง...ชะลอรถดูก็เห็นตัวเปียกโชกเชียว!
คนที่ขับรถกลับบ้านดึกๆ เห็นใครวิ่งตัดหน้าหายวูบลงไปในคลอง บางทีเห็นผู้หญิงยืนโบกรถ แต่พอจอดดูก็เห็นร่างเหวอะหวะ หน้าตาเนื้อตัวเปรอะด้วยเลือดสดๆ เล่นเอาแทบสติแตกไปเลยก็มี
ผมเคยเจอเข้ากับตัวเองจังๆ เมื่อขับรถมากับพี่น้องอีกสองคน กลับจากงานศพที่วัดพระศรีมหาธาตุ กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านอยู่แล้ว พอดีเห็นไฟพุ่งสวนมา แถมใช้ไฟสูงอีกต่างหาก เกือบจะร้องด่าอยู่แล้วเชียว แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นรถเจ้ากรรมนั่นก็หักพรวดลงคลองไปดื้อๆ เสียงตูมสนั่น!
ขณะนั้นรถราบางตาแล้ว แต่ไม่มีใครแยแสหรือจอดถามไถ่เหตุการณ์เลย พวกเราผู้ชายล้วนๆ รีบลงจากรถไปดูเพื่อช่วยเหลือ ท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกในฤดูฝน...แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นรถคันนั้น...
ไม่เห็นแม้แต่วงน้ำกระเพื่อมที่น่าจะปรากฏให้เห็นในแสงไฟ นอกจากสายลมพัดวูบจนหนาวสะท้านไปทั้งตัว!
เผ่นกันขึ้นรถแทบไม่ทัน ต่างคนต่างนั่งตัวแข็ง ไม่มีใครกล้าปริปากอะไรตลอดทางจนถึงบ้าน รีบเอาน้ำมนต์มาแจกกันล้างหน้าที่ยังซีดเซียวเป็นไก่ต้มอยู่ไม่หาย...ขอให้ไปที่ชอบๆ เถอะ เจ้าประคุณเอ๋ย...
แค่นี้ก็ขนหัวลุกซู่ซ่าไปตามๆ กันแล้วครับ! บรื๋อออ...
"คนหนองเสือ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนธัญบุรี
บ้านผมอยู่ธัญบุรี ปทุมธานี เขตปริมณฑลของกรุงเทพฯ นี่เอง มีคลองรังสิตเป็นสายเลือดเส้นใหญ่ของพวกเรา
ตั้งแต่เปิดคลองใน พ.ศ.2435 ร.5 โปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่าคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ย่านนี้ก็กลายเป็นถิ่นเจริญ ดินดำน้ำชุ่ม คลองไปถึงไหน ไร่นาที่นั่นก็อุดมสมบูรณ์ ผู้คนเข้าไปทำมาหากินกันหนาตาขึ้นทุกที
น่าสงสารแต่บรรดา "คุณหูทิพย์" หรือโขลงช้างป่าที่ถือว่าเป็นเจ้าถิ่นตัวจริงเสียงจริงเคยอยู่กินสุขสบายมานับร้อยปีก็จำเป็นต้องถอยร่น หลบเข้าป่าลึกไปทุกทีจนถึงเขาเขียว นครนายก ปราจีนบุรีโน่น
ทุ่งรังสิตเคยรกร้างในอดีตก็โปรดเกล้าฯ ให้เป็นเมืองธัญบุรี ในปี 2444 อีก 30 ปีต่อมาก็กลายเป็นอำเภอธัญบุรี ขึ้นต่อจังหวัดปทุมธานีในปี 2474 มาจนถึงทุกวันนี้
หนองเสือ ธัญบุรีบ้านผมนี่ แหม...เขาลือกันว่า ผีดุบรรลัยเลยล่ะครับ!
ช่วงนั้นบ้านเรือนชักจะหนาตา บ้านจัดสรรก็ผุดขึ้นหลายแห่ง ผู้คนและรถราคึกคักขึ้นทุกที แม้ว่าด้านหลังจะมีสวนส้มเขียวหวานอยู่นับร้อยไร่ เห็นว่าหนีน้ำเค็มจากบางมดมาปักหลักที่นี่ ต่อมาก็ต้องอพยพไปอยู่สิงห์บุรีบ้าง พิจิตรบ้าง เมื่อดินจืดกับความเจริญจากเมืองหลวงแผ่ขยายมาถึงรวดเร็วแทบตั้งตัวไม่ติด
ถนนเลียบคลองจากรังสิต กลายเป็นทางลัดไปนครนายก เสาร์อาทิตย์มีรถนักท่องเที่ยวผ่านไปมาขวักไขว่ อุบัติเหตุทางถนนก็เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว
ชนโครมเข้าถ้าไม่ตายก็คางเหลืองไปตามๆ กัน!
ที่น่าขนพองสยองเกล้ากว่านั้นคือ พวกที่ขับรถพุ่งชนต้นไม้เสียงเหมือนฟ้าผ่า หรือไม่ก็พุ่งลงคลอง ส่วนมากกลายเป็นศพทั้งนั้น ผมเคยเห็นพวกมูลนิธิเขางมศพขึ้นมา มีทั้งผู้หญิงผู้ชายแม้แต่เด็กๆ ก็ต้องพลอยจบชีวิตอย่างน่าเศร้าใจ
เรื่องผีดุก็ชักจะหนาหูขึ้นทุกที!
ไม่ใช่เรื่องราวที่พูดกันลอยๆ นะครับ แต่มีคนหวิดจับไข้หัวโกร๋นมาหลายรายแล้ว
ตอนแรกเป็นผีในทุ่งนา คนเดินผ่านได้ยินเสียงท่องน้ำจ๋อมๆ พอหันไปดูก็เงียบ แต่เดินต่อเมื่อไหร่เป็นได้ยินเสียงจ๋อมๆ เมื่อนั้น ในที่สุดก็ต้องวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานแทบเสียสติไปเลย
บางคนเล่าว่าขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน เห็นคนกลุ่มหนึ่งยกโขยงมาจากสวนส้ม เดินตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ บางคนบอกว่าเด็กเล็กๆ เดินแก้ผ้าล่อนจ้อนข้างทาง พอนึกได้ว่าเด็กเล็กๆ ที่ไหนจะมาเดินคนเดียวตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้?
คุณพระช่วย! เด็กเจ้ากรรมนั่นก็หายไปแล้ว!
ต่อให้ใจแข็งเป็นเหล็กเป็นไหลแค่ไหน แต่เรื่องกลัวผีนี่ไม่เข้าใครออกใครนะครับ นึกขึ้นได้ก็เผ่นอ้าวจนออกหูหึ่งๆ เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งมีรถเกิดอุบัติเหตุคนตายบ่อยๆ ภูตผีปีศาจก็ยิ่งเฮี้ยนจัดขึ้นทุกที ก็มีคนเห็นร่างดำๆ เดินไปมาอยู่ข้างถนน บ้างก็นั่งร้องไห้อยู่ริมคลอง...ชะลอรถดูก็เห็นตัวเปียกโชกเชียว!
คนที่ขับรถกลับบ้านดึกๆ เห็นใครวิ่งตัดหน้าหายวูบลงไปในคลอง บางทีเห็นผู้หญิงยืนโบกรถ แต่พอจอดดูก็เห็นร่างเหวอะหวะ หน้าตาเนื้อตัวเปรอะด้วยเลือดสดๆ เล่นเอาแทบสติแตกไปเลยก็มี
ผมเคยเจอเข้ากับตัวเองจังๆ เมื่อขับรถมากับพี่น้องอีกสองคน กลับจากงานศพที่วัดพระศรีมหาธาตุ กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านอยู่แล้ว พอดีเห็นไฟพุ่งสวนมา แถมใช้ไฟสูงอีกต่างหาก เกือบจะร้องด่าอยู่แล้วเชียว แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นรถเจ้ากรรมนั่นก็หักพรวดลงคลองไปดื้อๆ เสียงตูมสนั่น!
ขณะนั้นรถราบางตาแล้ว แต่ไม่มีใครแยแสหรือจอดถามไถ่เหตุการณ์เลย พวกเราผู้ชายล้วนๆ รีบลงจากรถไปดูเพื่อช่วยเหลือ ท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกในฤดูฝน...แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นรถคันนั้น...
ไม่เห็นแม้แต่วงน้ำกระเพื่อมที่น่าจะปรากฏให้เห็นในแสงไฟ นอกจากสายลมพัดวูบจนหนาวสะท้านไปทั้งตัว!
เผ่นกันขึ้นรถแทบไม่ทัน ต่างคนต่างนั่งตัวแข็ง ไม่มีใครกล้าปริปากอะไรตลอดทางจนถึงบ้าน รีบเอาน้ำมนต์มาแจกกันล้างหน้าที่ยังซีดเซียวเป็นไก่ต้มอยู่ไม่หาย...ขอให้ไปที่ชอบๆ เถอะ เจ้าประคุณเอ๋ย...
แค่นี้ก็ขนหัวลุกซู่ซ่าไปตามๆ กันแล้วครับ! บรื๋อออ...
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 8 ก.ค. นายเพิ่ม โพธิ์สุตา อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านท่อนน้อย ต.บ้านค้อ อ.เมือง จ.ขอนแก่น และ นายกฤษฎา อะนะกะทัศน์ อายุ 40 ปี สมาชิกสภาเทศบาลตำบลบ้านค้อ ชาวบ้านบ้านท่อนน้อย หมู่ 1 ประมาณ 100 คน ได้ออกมารวมตัวกันที่ศาลาประชาคมบ้านท่อนน้อย เพื่อทำพิธีขับไล่ผีปอบ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาเพศ จนคนในหมู่บ้านโดยเฉพาะคนสูงอายุเกิดอาการเสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีแล้วกว่า 10 ราย ซึ่งชาวบ้านทุกคนได้มีการเรียกร้องให้ผู้นำชุมชน ช่วยหาหมอผีมาช่วยปราบล้างอาถรรพ์ให้กับหมู่บ้าน และทำพิธีเรียกขวัญกำลังใจให้กับราษฎรกลับคืนมาโดยเร็ว เพราะต่างพากันหวาดผวา เวลากลางคืนชาวบ้านต่างไม่กล้าออกจากบ้าน โดยได้มีการมอบหมายให้นายเพิ่ม ผญบ.หมู่ 1 เป็นตัวแทนชาวบ้านทำประชาคมหมู่บ้าน และขอ
ชาวบ้านช่วยลงขันคนละ 100 บาท นำเงินจำนวนดังกล่าวเดินทางไปว่าจ้าง นายธรรมห้าว หรือพ่อธรรมห้าว กองเกิด ราษฎรบ้านหัวขัว ต.หนองเม็ก อ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น หมอแก้ไสยศาสตร์ คุณไสย ขับไล่ผีปอบออกจากร่าง เพื่อมาช่วยทำพิธีขับไล่ผีปอบครั้งนี้
เมื่อถึงเวลา 09.30 น. นายธรรมห้าวได้ทำพิธีขับไล่ผีปอบมีพิธีบูชาครูของตน ก่อนสวดมนต์ภาวนาตามคาถาที่ร่ำเรียนมาที่ด้านข้างศาลาประชาคมบ้านท่อนน้อย กับ ฉางข้าวของชาวบ้าน จากนั้นได้ให้ลูกศิษย์ช่วยกันขุดหลุมเพื่อทำเป็นหลุมศพจริง แล้วได้ให้ นายลมเพชร บุยา อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90 หมู่ 1 บ้านท่อนน้อย พานายธรรมห้าวไปที่บ้านของนายลมเพชร เข้าไปในบ้านพบว่า นางคำพอง แสงวาโท อายุ 59 ปี ตัวเหลืองซีด มีอาการเซื่องซึม นอนซมอยู่ในบ้าน พูดไม่ได้ นั่งไม่ได้ ทำให้นายธรรมห้าวทำพิธีจับผีปอบที่อยู่ในร่างของนางคำพอง แล้วนำร่างนางคำพองที่เชื่อว่ามีผีปอปเข้าสิงในร่างมาทำพิธีที่หน้าหลุมศพ โดยมีชาวบ้านมามุงดูการกระทำพิธีในครั้งนี้ จำนวนมาก
จากนั้น นายธรรมห้าวได้สวดมนต์ใส่ร่างของนางคำพอง พร้อมเดินวนไปวนมา 3 รอบ แล้วใช้มีดหมอที่ลงคาถาอาคมไว้จิ้มไปตามร่างกายของนางคำพอง จำนวน 9 ครั้ง จนเป็นที่น่าเชื่อว่าผีปอบที่สิงในร่างของนางคำพองตายสนิทแล้วจึงได้ให้ลูกศิษย์นำร่างนางคำพองลงไปในหลุมศพ นำผ้าขาว สายสิณจน์ออกจากร่างของนางคำพอง พร้อมกับรดน้ำมนต์
จากนั้นพบว่านางคำพองลืมตาขึ้นเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ได้รีบลุกขึ้นจากหลุมศพให้คนช่วยพยุงเดินขึ้นจากหลุมฝังศพเดินมาที่ศาลาประชาคม แล้วนายธรรมห้าวบอกให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีนำดอกไม้ ธูปเทียนที่เตรียมไว้แล้วโยนลงไปในหลุมศพ แล้วให้ชาวบ้านช่วยกันขุดดินถมหลุมศพจนเต็ม โดยมีวิญญาณผีปอบฝังอยู่ในดินตรงนั้นตลอดไป
นายกฤษฎา อะนะกะทัศน์ ส.ทบ.บ้านค้อ เปิดเผยว่า ชาวบ้านบ้านท่อนน้อยมีความเชื่อว่ามีการเกิดอาเพศขึ้นใน หมู่บ้านท่อนน้อย เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหลายอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้านโดยเฉพาะคนสูงอายุที่เป็นผู้หญิง ในหมู่บ้านมีการป่วยเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาแล้วกว่า 10 ราย ซึ่งจะมีอาการอยู่ดีๆ ที่บ้าน ก็มีอาการเหม่อลอย พูดคุยอยู่กับญาติดีๆก็เดินออกจากบ้าน ว่ามีคนเรียกให้ไปพบ เดินออกจากบ้านไปและเดินกลับมาก็อาเจียนออกเป็นเลือด ล้มป่วยพานำส่งเข้าโรงพยาบาลก็เสียชีวิต ทั้งๆที่ไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยและมีสุขภาพแข็งแรงดี ซึ่งมีการล้มป่วยลักษณะเดียวกันมาต่อเนื่องหลายราย
ด้านนายธรรมห้าว กองเกิด หมอธรรมขับไล่ผีปอบ กล่าวว่า ได้ทำพิธีด้านไสยศาสตร์เพ่งดูผีปอบที่เป็นวิญญาณวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านท่อนน้อยมีเพียง 1 ตัวเท่านั้น เป็นหญิง อายุประมาณ 60 ปี และได้เข้ามาสิงในร่างของนางคำพองเพื่อมาเอาชีวิตไปเหมือนเช่นกับคนอื่นๆที่ได้เคยเอาชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2555 ที่ผ่านมา ตนจึงได้ให้นางคำพองที่มีผีปอบเข้าสิงในร่างมานอนอยู่ในหลุมศพ ทำพิธีขับไล่ผีปอบออกจากร่าง เมื่อจะขึ้นมาจากหลุมศพก็จะใช้มีดหมอฆ่าให้ตาย แล้วฝังผีปอบในหลุมศพลงคาถาอาคมปิดปากหลุมเอาไว้ไม่ให้เกิดมาอาละวาดไล่กินคนในหมู่บ้านอีกต่อไป
ผีปอบ
ผีปอบ หลายๆ
คนคงเคยเห็นในหนังเรื่องผีปอบมาแล้ว ซึ่งในหนังทำรูปร่างผีปอบได้น่ากลัวมาก..
แต่ความจริงแล้ว ผีปอบ ไม่น่าจะมีรูปร่างน่ากลัวขนาดนั้น
ผีปอบ
ตามที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมา มีความเป็นมาดังนี้...
คนสมัยก่อน
มักเรียนคาถาอาคม ผู้ชายก็เรียนอาคม ผู้หญิงบางคนก็เรียนอาคม ผู้ชาย
โดยมากจะเป็นคาถาอาคมแบบอยู่ยงคงกระพันบ้าง แบบหมอผีบ้าง... ผู้หญิง
มักจะเรียนอาคมแบบคนเข้าทรง หรือไม่ก็ถือผี เช่น ลำผีฟ้า เป็นต้น
การเรียนอาคมทุกอย่าง
ต้องมีของคะลำ (หัวข้อต้องห้าม หรือที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด) เช่น
ห้ามให้คนตบหัว ห้ามลอดผ้าถุง ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ห้ามรับเงินเกินค่าครู ห้ามโกหก
ห้าม...ฯลฯ... ซึ่งครูอาจารย์ผู้สอนวิชาอาคมให้ ก็จะบอกกำชับว่า
ต้องคะลำอะไรบ้าง... หากผิดข้อห้าม ความขลังอาจจะหายไป หรือเกิดอาการของขึ้น
หรือเกิดความเสื่อมอะไรบางอย่าง เป็นต้น
การที่ต้องปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ
ก็เพื่อให้จิตผู้เรียนอาคม อยู่เหนืออาคม หรือสามารถบังคับอาคมได้ ถ้าเลี้ยงผีไว้
ก็มีอำนาจเหนือผี
แต่ในทางกลับกัน
ถ้าผิดข้อห้าม ผลที่ไม่ดีก็มักจะเกิดขึ้น เพราะเราทำไม่ถูกต้องก่อน จิตเราก็จะอ่อนลง
บังคับอาคมไว้ไม่ได้ ถ้าผู้ที่เลี้ยงผี ก็คุมผีไว้ไม่ได้
ผู้ชายที่เรียนอาคม
โดยมาก ผลของการผิดข้อห้าม อาจจะทำให้คาถาเสื่อม ไม่ขลัง ของขึ้น
หรือไม่ก็กลายเป็นสัตว์ เช่นเสือเป็นต้น ถ้าผู้เลี้ยงผี ก็อาจถูกผีแก้แค้น
สำหรับผู้หญิง
เนื่องจากมักไม่ได้เรียนอาคมแบบเดียวกับผู้ชาย พอผิดข้อห้าม
ผลจึงแตกต่างจากผู้ชาย... ผู้หญิงแถวอีสาน หากเรียนอาคม โดยมากจะเป็นแบบเข้าทรง
หรือไม่ก็เรียนลำผีฟ้า ซึ่งเป็นพิธีเพื่อรักษาคนเจ็บป่วยอีกแนวทางหนึ่ง
ข้อห้ามของคนลำผีฟ้า
คืออะไรบ้าง ข้าพเจ้าไม่ทราบ เนื่องจากเป็นศาสตร์ลึกลับ... ทว่า ก่อนลำทุกครั้ง
ต้องมีการไหว้ครู แต่งขันบวงสรวง (แต่งคายอ้อ) ซึ่งก็จะมีเงินใส่ลงไปด้วย
จำนวนเงินจำกัดตามที่ครูอาจารย์บอก เช่น หนึ่งสลึง เป็นต้น....
ผู้หญิง
หากผิดข้อห้าม โดยมาก มักจะกลายเป็นปอบ
(ผู้ชายเป็นปอบ
มิใคร่จะได้ยินนัก แต่ก็เคยได้ยินบ้างเหมือนกัน ซึ่งหากผู้ชายเป็นปอบ ว่ากันว่า
ปราบยากกว่าปอบผู้หญิง เพราะของมันแรง อาคมมันแรงกว่า)
อะไรคือปอบ
กลายเป็นปอบ คืออะไร?
พอผิดข้อห้าม
จิตของคนนั้นจะอ่อนแอลง ไม่กล้าแกร่ง ไม่เข้มแข็ง หรือเรียกว่าจิตเสื่อม
เพราะตนเองรู้อยู่ว่าผิด เมื่อจิตอ่อนแอลง ก็ไม่สามารถจะควบคุมอาคมที่ตนเองมีอยู่ได้
ตนเองจึงถูกอาคมนั้นย้อนกลับเข้าตัว และอยู่ใต้อำนาจของอาคม
คนที่ถูกอาคมย้อนเข้าตัว
นั่นแหละ เขาเรียกว่าคนเป็นปอบ เพราะเป็นที่อาศัยของปอบ
ตัว อาคม
เขาเรียกว่า ผีปอบ
ผีปอบ
ก็คือจิตที่เสื่อมอันมีอาคมหรือมนต์ดำครอบงำไว้
ผีปอบ ทำอะไรๆ
ไม่ได้ หากปราศจากร่างกายหยาบ... ดังนั้น ผีปอบจึงต้องการร่างกาย เป็นที่สิงสู่
เป็นที่อยู่อาศัย
ผีปอบ จริงๆ
แล้วก็คือจิต (หรือดวงวิญญาณ) นั่นแหละ คนที่เรียนวิชาอาคมแบบหมอผีอาจจะมองเห็นได้
คนที่มีตาทิพย์อาจจะมองเห็นได้ แต่คนธรรมดามองไม่เห็น คนธรรมดามองเห็นเพียงคนที่เป็นปอบ
หรือคนที่ปอบอาศัยสิงร่างอยู่เท่านั้น
เวลาผีปอบ (จิต)
ไปเข้าคนอื่น คนที่เป็นปอบ จะไม่รู้ตัวเลยว่าปอบตัวเอง (มนต์ดำของตัวเอง)
ไปเข้าใคร
แต่ตัวปอบที่ไปเข้าคนอื่น
เวลาถูกถามว่า เป็นใคร มาจากไหน ก็จะบอกว่า ตัวเองเป็นใคร อยู่บ้านไหน ซึ่งเป็นคำตอบอย่างท้าทาย
เพราะเข้าใจว่า ไม่มีใครปราบได้
จากนั้น
ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ เป็นปอบ ก็จะกระจายไปจนเข้าถึงหูของคนที่เป็นปอบ...
คนที่เป็นปอบ(ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย) ก็จะเกิดความอาย อายชาวบ้านคนอื่น
อายเพื่อนบ้านด้วยกัน...
จากความอายนั้น
ทำให้เมื่อตัวปอบ ไปเข้าคนอื่นๆ ต่อมา พอถูกถามว่า เป็นใครมาจากไหน
ก็เลยไม่ตอบบ้าง ตอบว่ามาจากบ้านอื่นบ้าง ซึ่งก็คือการโกหก นั่นเอง จนมีคำพูดว่า “แลกหน้ากินปานปอบ”
... ซึ่งหมายถึง เอาชื่อคนอื่นไปแอบอ้าง ...ทว่า การโกหก
เป็นสิ่งไม่ดี คนที่เรียนอาคม ทราบดีอยู่แล้ว มันฝังอยู่ในสันดาน อยู่ในจิต
แม้จิตเป็นปอบ ก็ไม่กล้าโกหก ปอบแบบนี้ก็มี ปอบที่ไม่กล้าโกหก
จึงมักจะไปหาเข้าคนบ้านอื่นที่อยู่ไกลๆ ซึ่งแม้จะบอกว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านแถวนั้น
ก็ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครรู้จักตน จะได้ไม่ต้องอาย ...
จากความอายนั้น
เมื่อคนที่เป็นปอบไปที่ไหน ก็จะไม่กล้าสบตาใคร โดยเฉพาะพระเณรผู้มีศีล
คนที่เป็นปอบจะไม่กล้าสบตาเลย เพราะอาย แต่คนที่ถูกปอบเข้า จะไม่อายนะ
เพราะตัวปอบสิงร่างคนอื่นอยู่ จึงไม่อาย จึงกล้าท้าพระ กล้าสบตาคนอื่นๆ
อย่างท้าทาย
ปอบไปเข้าคนอื่น
ก็เพราะมันหิว มันอยาก ซึ่งคนที่ปอบจะเข้าได้ง่าย โดยมากมักเป็นผู้หญิง
เพราะมีจิตอ่อน มีจุดอ่อนแห่งจิตที่ปอบสามารถเข้าครอบงำได้ง่าย เมื่อเข้าแล้ว
มักจะให้คนนั้นคนนี้ หาหมากหาพลูมาให้เคี้ยว ให้หาไก่มาต้มให้กิน เป็นต้น
แล้วแต่ปอบจะอยากกินอะไร
ปอบ
น่ากลัวตรงที่เรามองไม่เห็น และเราไม่รู้ว่าคนที่ถูกปอบเข้า จะได้รับอันตรายอะไรอื่นๆ
หรือไม่ หรือคนที่ถูกปอบเข้า จะไปทำร้ายคนอื่นรอบข้างหรือไม่
ปอบ ปัจจุบัน
ไม่ค่อยได้ยินว่ามีปอบไปเข้าคนนั้นคนนี้แล้ว อาจเนื่องจากว่า คนยุคปัจจุบัน
ไม่ค่อยได้เรียนอาคมกัน จึงไม่เป็นปอบ
คนยุคปัจจุบัน แม้จิตวิญญาณ ไม่เป็นปอบ แต่จิตวิญญาณ
กลับเป็นผีอย่างอื่น ผีที่ซึมสิงครอบงำจิตเช่นเดียวกับปอบ แต่เวลาออกหากิน
ไม่ต้องไปเข้าสิงคนอื่นเหมือนปอบ ใช้วิธีหากิน หาเอามาเองเลย... ซึ่งผีนี้คือ
ผีเปรต.... คนยุคปัจจุบัน เปลี่ยนจากผีปอบ มาเป็นผีเปรต กันก็มาก....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น